#Drink เรื่องของชา TEA








"ชา  Tea"

     เครื่องดื่มคู่โลก ชามีถิ่นกำเนิดมาจากจีน แต่กลายเป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลายไปทั่วโลก ชาวไทย จีน แขก และฝรั่ง

 รู้จักดื่มชากันทั้งสิ้น บางเวลา ดื่มอะไรก็ไม่สดชื่นเหมือนดื่มน้ำชาสักถ้วย ทั้งที่ความจริงนั้นชามีสารอาหารอยู่น้อยนิด เว้นแต่จะใส่นมหรือน้ำตาลเช่นในชาฝรั่ง ซึ่งให้พลังงานประมาณ 35 กิโลแคลอรีต่อถ้วย ชาช่วยกระตุ้นให้สมองแจ่มใสได้ เนื่องจากมีสารกาเฟอีน ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และหายใจคล่องขึ้น เพราะกาเฟอีนจะเข้าไปช่วยขยายทางเดินหายใจในปอด ชา 1 ถ้วยมีกาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัมซึ่งสูงกว่าในเครื่องดื่มประเภทโคล่าถึง 2 เท่า หรือประมาณ 2 ใน 3 ของกาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟสำเร็จรูป 1 ถ้วย ชายังมีสารแทนนิน(tannin) ซึ่งทำให้น้ำชามีรสเข้ม และทำให้คราบฟันเหลือง โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ฟันปลอม ก่อนดื่มชาไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของคลอเฮกซิดีน(chlohexidine)เพราะทำให้มีคราบชาติดฟันยิ่งขึ้น สารแทนนินยังเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อดื่มชากับอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก...






ประเภทของ"ชา"แยกกันตามกระบวนการแปรรูป : Processing of tea

     "ชา" ถูกจัดประเภทตามกระบวนการแปรรูป หลังจากการเก็บเกี่ยว ใบของต้นชาจะถูกทิ้งให้สลด และ "บ่ม" โดย ทำให้เอนไซม์ในใบชาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ ใบชาจะมีสีเข้มขึ้น คลอโรฟิลล์ในใบชาจะแตกตัว กลายเป็นสารแทนนินที่ให้รสฝาด ต่อจากนั้น ต้องหยุดการทำงานของเอนไซม์ โดยใช้ความร้อน เพื่อให้หยุดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น โดยในชาดำ กระบวนการนี้จะดำเนินคู่กันไปกับการทำให้แห้ง

หากไม่ระมัดระวังในการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิระหว่างกระบวนการผลิต ใบชาอาจขึ้นรา เกิดปฏิกิริยาสร้างสารพิษที่อาจเป็นสารก่อมะเร็งขึ้นได้ ทำให้รสชาติเสียไป และอันตรายต่อการบริโภค








ชาเขียว:Green Tea

     เป็นชาที่เก็บเกี่ยวจากพืชในชนิด Camellia sinensis (เช่นเดียวกับ ชาขาว ชาดำ และชาอู่หลง ชาที่ไม่ผ่านการหมัก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีคุณสมบัติในการต้านทานโรคได้นานาชนิดจึงเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ น้ำชาจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว มีรสฝาดไม่มีกลิ่น แต่จะมีการแต่งกลิ่นเผื่อให้เกิดความน่ารับประทานมากขึ้น








ชาขาว:White Tea

     เป็นชาชนิดหนึ่ง ผลิตจากตูมและยอดอ่อนของต้นชา แหล่งเพาะปลูกชาขาวที่มีชื่อเสียงอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของประเทศจีน กรรมวิธีผลิตชาขาวเริ่มจากการเลือกเก็บยอดอ่อนชาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนำยอดชาที่เก็บได้มาผ่านกระบวนการทำแห้งในระยะเวลาที่รวดเร็ว ด้วยวิธีธรรมชาติโดยอาศัย ลม แสงแดด หรือความร้อนซึ่งจะแตกต่างจากกรรมวิธีผลิตชาประเภทอื่นๆ (ชาเขียว ชาดำ ชาแดง ชาอู่หลง) ที่ผ่านกระบวนการทำแห้งด้วยความร้อนหรือไอน้ำและผ่านกระบวนการหมักสำหรับชาบางประเภท ทำให้ปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระและคุณค่าทางโภชนาการของชาขาวยังคงไว้ได้มาก รวมทั้งกลิ่นและรสชาติของชาขาวที่ยังคงความสดชื่นและนุ่มนวล ชาขาวจึงเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง




ชาเหลือง (Yellow Tea) 

     มีเฉพาะเมืองจีน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมโดยทั่วไป เกิดจากการเก็บใบชาเหมือนกัน เก็บแล้วนำมาม้วนเพื่อเก็บน้ำมันใบชาไว้ เพื่อทำให้รสชาติเพิ่มขึ้น สีเปลี่ยน พอม้วนเสร็จก็นำไปทำให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วก็จะได้ชาเหลือง สีใกล้เคียงกับชาเขียว แต่จะออกสีเหลืองกว่าเล็กน้อย เพราะชาเขียวไม่ม้วนใบชา เวลาม้วนใบชาน้ำมันก็ยังอยู่ในใบชา เป็นการเก็บน้ำมันไว้เพื่อให้ออกมาทำปฏิกิริยากับอากาศในภายหลัง ชาเหลืองเหมาะสำหรับการดื่มคู่อาหารจีนทุกชนิด เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตทำให้เหมาะกับการดื่มคู่อาหาร สารที่อยู่ในชาเหลืองจะช่วยกำจัดไขมันที่ค่อนข้างมีมากในอาหารจีน และช่วยส่งเสริมรสชาติอาหารจีนให้ดียิ่งขึ้น




ชาดำ:Black tea

     ได้มาจากการเก็บใบชาอ่อนไปบดด้วยลูกกลิ้ง ซึ่งเซลล์ใบชาจะแตกช้ำโดยใบไม่ขาด และเอนไซม์ในเซลล์จะย่อยสลายสาร เกิดเป็นกระบวนการหมัก ทำให้เกิดกลิ่นและรส และใบชาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทองแดง ทิ้งไว้ระยะหนึ่งก่อนใช้ความร้อนเป่าไปที่ใบชาหรืออาจจะนำใบชาไปอังไฟ หรือรมด้วยไอน้ำ เอนไซม์จะหมดฤทธิ์ ใบชาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ นำไปตากหรืออบให้แห้ง จากนั้นบดหรือหั่นตามแต่ชนิดของชา ชาที่ได้มาเรียกว่า ชาดำ

เกี่ยวกับประโยชน์ของชาดำ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การดื่มชาดำช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เพราะชาดำมีสรรพคุณปรับปรุงสภาพเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ โดยงานวิจัยชิ้นล่าสุดช่วยยืนยันผลการศึกษาก่อนหน้านี้ที่พบว่าชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ สารเคมีตัวนี้ช่วยป้องกันคอเลส เตอรอลไม่ให้ทำลายเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ

ทั้งนี้โรคหัวใจที่เกิดจากการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง มีสาเหตุสำคัญอยู่ที่ชั้นบางๆ ของเซลล์ที่อยู่บริเวณผนังของเส้นเลือดถูกทำลาย ชั้นบางๆ มีความสำคัญเพราะทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น ขยายตัวหรือหดตัวได้ตามที่หัวใจต้องการเลือด และชั้นบางๆ ของเซลล์ที่ผนังเส้นเลือดยังป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน และผนังเลือดอักเสบ การดื่มชาดำจะส่งผลโดยทันทีและในระยะยาวต่อหลอดเลือด โดยการทดลองได้นำอาสาสมัคร 50 คนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แบ่งเป็นกลุ่มแรกให้ดื่มชาดำ ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้ดื่มน้ำเปล่า ผลปรากฏว่าผู้ที่ดื่มชาดำวันละ 4 ถ้วย มีชั้นบางๆ ที่หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจดีขึ้น แต่คนที่ดื่มน้ำเปล่าไม่มีผลใดๆ

และจากเว็บไซต์วิชาการดอทคอม พบข้อมูลว่า ชาดำช่วยแก้อาการเครียด โดยอ้างถึงรายงานของยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน ที่พบว่าชาดำมีผลต่อระดับฮอร์โมนความเครียดในร่างกายที่มีชื่อว่า คอร์ติซอล ซึ่งหลั่งจากต่อมหมวกไตเข้าสู่กระแสเลือดเมื่อร่างกายต้องตอบสนองต่อสภาวะเครียด งานวิจัยว่าถ้าดื่มชาดำประจำสม่ำเสมออาจช่วยให้ความจำดียิ่งขึ้น ด้วยชาดำมีผลต่อการยับยั้งการทำงานบางชนิดของเอนไซม์ Butyrylcholinesterase ที่มีส่วนร่วมก่อโปรตีน Amyloid Beta (AB) ในสมอง สาเหตุหลักของโรคอัลไซเมอร์

ยังมีข้อมูลตีพิมพ์ในวารสาร Psychopharmacology ศ.แอนดริว เตรบโต พบว่าคนที่ดื่มชาดำในการทดลองสามารถลดความเครียดได้ง่ายและฟื้นตัวจากความเครียดได้เร็วกว่าคนที่ไม่กินชา หรือได้รับชาดำหลอก หรือ placebo tea อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามีสารเคมีอะไรที่มีผลต่อการฟื้นตัวจากสภาพที่เครียดดังกล่าว เพราะสารเคมีในชามีความซับซ้อน และมีสารเคมีในชาหลายตัว เช่น catechins, polyphenols, flavonoids และ amino acids เป็นต้น มีผลต่อการส่งกระแสประสาทในสมองทั้งสิ้น

การเทียบคุณค่าระหว่างชาดำกับชาเขียวมีข้อมูลว่า กระบวนการผลิตทำให้สารเคมีที่เป็นประโยชน์ เช่น สารไอโซฟลาโวน (อาทิ สารคะเตชิน) ในชาเขียวยังไม่ถูกทำลายไปมากนัก ชาเขียว 100 กรัม ยังมีสารคะเตชินเหลืออยู่ถึง 14.2 กรัม ขณะที่ในชาดำมี 4 กรัมต่อใบชา 100 กรัม อย่างไรก็ตาม พบว่าชาดำกับชาเขียวมีสารเคมีที่เรียกว่า โพลีฟีนอล ใกล้เคียงกัน คือประมาณ 15-16 กรัมต่อใบชา 100 กรัม เหตุนี้เองจึงมีนักวิทยาศาสตร์บางคนยืนยันว่าชาดำก็ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้เหมือนกัน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าชาเขียวให้ประโยชน์มากกว่า เพราะมีสารคะเตชินมากกว่า





ชาแดงหรือชาอูหลง : Red Tea or Oolong Tea

     คือ ยอดอ่อนของชาที่ถูกนำมานวดพอให้ผิวนอกช้ำ เพื่อกระตุ้นสารแทนนิน แล้วจึงอบให้แห้ง เพื่อหยุดยั้งปฏิกิริยาทางเคมี สีและรสของชาแดงจึงอยู่กึ่งกลางระหว่างชาดำกับชาเขียว



Credit : Mrbignink Practical Fact  http://facebook.com/padbig 

http://www.facebook.com/pages/Mrbignink-Life-Like/148071985274955 

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Subscribt

ads